วันพุธที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ประวัติของซูชิ
ซูชิ (「寿司」 sushi – และมีการเขียนหลายแบบ ได้แก่ すし、鮨、鮓、寿斗、寿し、壽司?) หรือ ข้าวปั้นมีหน้า เป็นอาหารญี่ปุ่น ที่ข้าวมีส่วนผสมของน้ำส้มสายชู และกินคู่กับปลา เนื้อ หรือ ของคาวชนิดต่างๆ ในประเทศญี่ปุ่น ซูชิมักจะหมายถึงอาหารที่มีส่วนประกอบของ ซูชิเมะชิ (寿司飯, ข้าวที่ผสมน้ำส้มสายชู) และมีหน้าแบบต่างๆเป็นหน้า ที่นิยมได้แก่ อาหารทะเล ผัก ไข่ เห็ด เนื้อที่นำมาใช้อาจจะเป็นเนื้อดิบ หรือ เนื้อที่ผ่านกระบวนการทำอาหารแล้ว สำหรับในประเทศอื่น


ซูชิ หมายถึง การรวมกันระหว่างปลากับข้าว ซูชิมีวิวัฒนาการมาเมื่อหลายร้อยปีมาแล้วซึ่งเกิดจากความต้องการถนอมอาหารของคนญี่ปุ่น และซูชิก็ไม่น่าจะใช่อาหารญี่ปุ่นแท้ๆด้วยเชื่อกันว่าน่าจะนำเข้าจากเมืองจีนเมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 7เนื่องจากมีเอกสารโบราณเก่าแก่ของจีนกล่าวถึงอาหารประเภทที่มีหน้าตาเหมือนกับซูชินี้เอาไว้ตั้งแต่ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 2 อาหารดังกล่าวเป็นปลาเค็มที่ใช้ข้าวเป็นตัวหมักจะนำมากินก็ต่อเมื่อปลาได้ที่แล้ว และกินเฉพาะแต่ปลาเท่านั้นส่วนข้าวนั้นเอาไปทิ้ง

อย่างไรก็ดี ยังมีอีกทฤษฎีหนึ่งเชื่อว่าซูชิอาจมีต้นกำเนิดมาจากแถบถิ่นเอเชียอาคเนย์บ้านเรานี้เองด้วยเหตุว่าประเทศเมืองร้อนแถบนี้ มีอาหารที่ถนอมหรือหมักด้วยข้าวหลากชนิด ยกตัวอย่างบ้านเราก็ปลาส้มนั่นไงเขาเลยไม่มองข้ามถึงความเป็นไปได้ตรงนี้เช่นกัน เดี๋ยวนี้มีตู้เย็นแล้วก็ไม่ต้องมาหมักกันกินทั้งข้าวทั้งปลานั่นแหละ อร่อยกว่ากันเยอะเลย


ซูชิ มีต้นกำเนิด จากอาหารไทย ?


ปลาส้มต้นกำเนิดซูชิ
เรื่องราวต้นของ กำเนิดซูชิ จากเว็บของสถานีโทรทัศน์ NHK ประเทศญี่ปุ่น กล่าวว่าซูชิมาจากประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีความใกล้เคียงกับปลาส้ม ที่นิยมรับประทานกันแถบภาคอีสานของไทยและประเทศลาว

ตามหาต้นกำเนิดซูชิในประเทศที่ร้อนตลอดปี
พิธีกรเดินทางไปเมืองไทยเพื่อตามหาต้นกำเนิดซูชิ เมื่อสอบถามพนักงานในร้านซูชิของไทยได้ความว่า ในภาคอีสานของไทยมีอาหารรสเปรี้ยวที่ทำจากปลาและข้าว พิธีกรจึงเดินทางไป จังหวัดขอนแก่น ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย พบว่าปลาส้ม(ปลาที่มีรสเปรี้ยว)ซึ่งเป็นอาหารพื้นเมืองที่มีมานานแล้ว ซึ่งเป็นที่กล่าวกันว่าคือต้นกำเนิดของซูชิ “ปลาส้ม” ทำจากการนำปลาน้ำจืด(ปลาแม่น้ำ)หมักกับเกลือสินเธาว์หนึ่งคืน จากนั้นบี้ข้าวเหนียวนึ่งลงไป แล้วทิ้งไว้ 3 วัน ระหว่างนั้นข้าวกับปลาจะทำปฏิกิริยากันทำให้เกิดรสเปรี้ยว

เหตุ ที่บอกได้ว่าปลาส้มเป็นต้นกำเนิดซูชิ
ปลา ส้มเป็นอาหารหมักทำจากข้าวและปลา ซึ่งคล้ายกับ “ฟุนะซูชิ” ซูชิแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่นมาก นักวิจัยญี่ปุ่นหลายคนค้นคว้าและสำรวจ เรื่องต้นกำเนิดของซูชิมานานแล้ว พบว่าอาหารหมักแบบปลาส้ม มักทำกันในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น ไทย ลาว หรือทางตอนใต้ของจีน นักวิจัยเชื่อว่าอาหารประเภทนี้ เข้ามาในญี่ปุ่นพร้อมกับวัฒนธรรมการทำนา ปลูกข้าวตั้งแต่ก่อนคริสตกาล ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของ “ฟุนะซูชิ” และพัฒนามาเป็นซูชิในปัจจุบัน


กว่าปลาส้มจะมาเป็นซูชิ
ในอดีตก่อนคริสตกาล อาหารหมักแบบปลาส้ม จากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เข้ามาในญี่ปุ่นพร้อมกับ วัฒนธรรมการทำนาปลูกข้าว จนกลายมาเป็น “ฟุนะซูชิ” ซึ่งเป็นที่นิยมรับประทานทั่วประเทศญี่ปุ่น จากเอกสารสมัยนาระ พบว่า “ฟุนะซูชิ” เป็นอาหารที่มีราคาแพงมักใช้จ่ายเป็นภาษี แต่เดิมไม่นิยมรับประทานข้าวที่ใช้หมักปลา กระทั่งสมัยมูโรมาจิ “ซูชิ” เริ่มเป็นที่นิยมแพร่หลายมากขึ้น เริ่มมีคนรับประทานข้าวที่ใช้หมักเพราะความเสียดาย แล้วพบว่าข้าวที่ใช้หมักนั้นซึมซับ ความอร่อยของปลาที่หมักเป็นอย่างดี ตั้งแต่นั้นมาการกินข้าวกับปลาหมักก็เป็นที่นิยมจนทำให้ “ซูชิ” เป็นอาหารที่มีชื่อเสียง



สมัยเอโดะ ชาวเอโดะไม่สามารถทนรอปลาที่ต้องใช้เวลาหมักนานได้ จึงใช้ “น้ำส้มสายชู” ซึ่งเป็นเครื่องปรุงอาหารที่ทำจากการหมักข้าว นำมาคลุกเคล้ากับข้าว จนได้รสชาดเช่นเดียวกับการหมักปลากับข้าว ทำให้เกิด “ซูชิ” ซึ่งทำจากข้าวคลุกน้ำส้มสายชู กับปลาจนเป็นที่นิยมแพร่หลายในปัจจุบัน

ซูชิ เป็นอาหารญี่ปุ่น ที่ข้าวมีส่วนผสมของน้ำส้มสายชู และกินคู่กับปลา เนื้อ หรือ ของคาวชนิดต่าง ๆ ในประเทศญี่ปุ่น ซุชิมักจะหมายถึงอาหารที่มีส่วนประกอบของ ซูชิเมะชิ และมีหน้าแบบต่างๆเป็นหน้า ที่นิยมได้แก่ อาหารทะเล ผัก ไข่ เห็ด เนื้อที่นำมาใช้อาจจะเป็นเนื้อดิบ หรือ เนื้อผ่านกระบวนการทำอาหารแล้ว สำหรับในประเทศอื่น

ซูชิ หมายถึง การรวมกันระหว่างปลากับข้าว ซูชิมีวิวัฒนาการมาเมื่อหลายร้อยปีมาแล้วซึ่งเกิดจากความต้องการถนอมอาหารของคนญี่ปุ่น
"ซูชิ" นิยมหมายถึง นิงิริซูริ ที่เป็นข้าวมาอัดเป็นก้อนและมีเนื้อปลาวางบนด้านหน้าเท่านั้น
โดยลักษณะของซูชิ แบ่งออกเป็น 5 แบบคือ นิริงิซูชิ,มากิซูชิ,ชิราชิซูชิ,โอชิซูชิ,อินะริซูชิ

ที่มา

ต้นกำเนิดของซูชิมียาวนานกว่า 1000 ปี มีต้นกำเนิดจากการหมักข้าว กับ ปลาจนเกิดรสเปรี้ยว ซึ่งในสมัยนั้นการหมักปลา กับ ข้าวคือการถนอมอาหารอย่างนึง ชาวญี่ปุ่นโบราณอาศัยอยู่บริเวณแถบแม่น้ำบิวะ ซึ่งจัดเป็นทะเลน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดในสมัยนั้นซึ่งได้จับปลาฟุนะและโรยเกลือไปทั้งตัว แล้วเรียงปลาซ้อนกันในถังไม้ ปิดฝา ใช้ของหนักกดทับไว้ เป็นระยะเวลาอย่างน้อย 2 ปีหรือยาวนานถึง 5 ปี เกลือจะซึมเข้าไปในเนื้อปลา หลังจากนั้นนำปลาออกมาแล้วใส่ข้าวสุกให้เต็มตัวปลา นำปลาเรียงในถังไม้ ข้างบนโปะข้าวสุกให้หนาและแน่น ปิดฝาและใช้ของหนักกดทับ ทิ้งไว้อีก 1 ปี แล้วจึงนำออกมารับประทาน เนื้อปลาที่ได้จะมีรสเปรี้ยวและเค็ม ชาวญี่ปุ่นถือว่าเป็นอาหารศักดิ์สิทธิ์ เพราะทำจากวัตถุดิบที่มีค่า เป็นสิ่งที่ธรรมชาติประทานให้ ซึ่งก็คือวัตถุดิบที่ใช้ คือ ข้าว ปลา และเกลือ แม้จะใช้เวลานานในกระบวนการหมัก แต่ผลที่ได้ก็คุ้มค่ากับการรอคอย

เมื่อกาลเวลาผ่านไป เกิดการเปลี่ยนแปลง ในการดำเนินชีวิตของชาวญี่ปุ่น คนไม่อยากใช้เวลารอคอยการหมักซูชินานขนาดนั้น จึงใช้วิธีผสมน้ำส้มสายชูเข้ากับข้าวสุกเลยเพื่อให้ได้รสเปรี้ยว ดังที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นว่า ซูชิเป็นอาหารศักดิ๊สิทธิ์ ทำไมชาวญี่ปุ่นจึงคิดเช่นนั้น

เหตุเพราะว่าสมัยก่อนชาวญี่ปุ่นไม่รับประทานเนื้อสัตว์ เนื่องจากข้อห้ามทางศาสนาพุทธอาหารโปรตีนสำคัญที่ชาวญี่ปุ่นบริโภคกันก็คือปลาและสัตว์น้ำ นอกจากนี้ข้าวก็เป็นอาหารหลัก และเกลือที่ใช้ประกอบอาหารก็สำคัญมาก เป็นสินค้าเศรษฐกิจในทุกสังคม ดังนั้น ข้าว ปลา เกลือ จึงเป็นวิ่งที่มีคุณค่าสำคัญอย่างยิ่งต่อการดำรงชีวิต เป็นสิ่งหล่อเลี้ยง ชีวิตชาวญี่ปุ่นแต่ครั้งโบราณกาล เมื่อมีการเซ่นไหว้เทพเจ้า สามสิ่งนี้ รวมทั้งเหล้าซึ่งทำจากข้าวจึงเป็นของขาดไม่ได้ แม้ประวัติการทำซูชิจะมีในญี่ปุ่นมาเป็นเวลานาน จนคนเข้าใจว่าเป็นของดังเดิมของญี่ปุ่น แต่เมื่อนักประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่นสืบค้นหาที่มาของซูชิก็พบว่า ญี่ปุ่นรับเอาวัฒนธรรม การรับประทานอาหารประเภทปลาหมักกับข้าวมาจากประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศไทยและลาว การหมักปลามักทำกันแพร่หลาย

1 ความคิดเห็น:

  1. ควรยกแหล่งอ้างอิงที่น่าเชื่อถือได้อย่างชัดเจน
    และควรคำสกดให้ถูก

    ตอบลบ